431 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อก่อนเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 5 -10 ปี แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจมีความผันผวนที่เร็วและแรงมาก ผันผวนแบบปีต่อปี วันต่อวันเลยทีเดียว ดังนั้นธุรกิจที่คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไร อนาคตตกที่นั่งลำบากแน่ครับ
ช่วงก่อนเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นช่วงที่ค้าขายดี SMEs ส่วนมากไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของลูกค้า ไม่ค่อยได้วิเคราะห์ว่าลูกค้าหายไปหรือไม่ ธุรกิจมีปัญหาแต่ก็ยังไม่ปรับปรุง ซึ่งธุรกิจถ้าไม่ดูแลลูกค้า ไม่ฟังเสียงลูกค้า ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ลำบาก ยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งลำบากมาก
SMEs ที่ดำเนินธุรกิจมานานจะเห็นว่า ปัจจุบันพฤติกรรมลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามแต่ละช่วงวัย ดังนั้นทั้งความต้องการความคาดหวังก็จะแตกต่างกัน เช่น ลูกค้าที่เคยนิยมเล่น Facebook ก็เปลี่ยนไปเล่น Instagram และปัจจุบันก็ต้องยอมให้ TikTok ที่มาแรงมาก
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงถือเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้า SMEs เข้าใจ ก็ต้องคิดเสมอว่าจะทำอย่างไรให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้ แก้ปัญหาของลูกค้าให้ได้ นี่คือโมเดลทางธุรกิจที่ SMEs ต้องมอง
ย้อนกลับไปสมัยผมเริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ มีบริษัทผลิตโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ผลิตโทรทัศน์แบบแอนะล็อกหลอดแก้ว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีในสมัยนั้น เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็น LCD, LED, Plasma บริษัทผลิตโทรทัศน์แห่งนี้ไม่ได้ปรับตัวตาม ไม่คิดออกนอกกรอบเดิม ๆ ทั้งที่ทางโครงสร้างก็ปรับได้ เมื่อไม่ปรับเปลี่ยน ธุรกิจก็ต้องล้มหายตายจากกันไป เหมือนที่มีคนกล่าวไว้ว่า “การไม่เสี่ยงเลย คือความเสี่ยงที่สุด” คำนี้คือ ใช่เลย
ฉะนั้นเมื่อไรที่รู้สึกว่ายอดขายนิ่ง หรือยอดขายเริ่มตก ให้หาอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไป หรือดูว่า เราสามารถเพิ่มคุณค่าอะไรให้ลูกค้าได้บ้าง ต้องคอยคิดตลอดเวลา อย่าทำเหมือนเดิม
ถามว่าคิดนอกกรอบคิดอย่างไร ผู้ประกอบการที่เข้าใจเรื่องโมเดลธุรกิจจริง ๆ จะเห็นเลยว่า วิธีการคิดนอกกรอบ คือ
1.การฟังเสียงของลูกค้า แล้วปรับเปลี่ยนให้ทันตามพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
2.สังเกตปัจจัยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ อะไรที่ปรับเปลี่ยนไป เราต้องนำปัจจัยเหล่านี้มาคิดตลอดเวลา
3.ถ้าคิดนอกกรอบจากสิ่งที่มีอยู่เดิม เราจะสร้างคุณค่าอะไรได้อีกบ้าง
ผมมักพูดกับผู้ประกอบการเสมอว่า ถ้าทำเหมือนเดิม ปัญหาก็ยังอยู่เหมือนเดิม บางธุรกิจที่ไม่ยอมออกจาก Comfort Zone ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากออก แต่ผู้ประกอบการอาจยังไม่รู้ว่าเหรียญอีกด้านหนึ่งคืออะไร เพราะมองไม่เห็นว่าถ้าปรับเปลี่ยนแล้วจะดีอย่างไร ดังนั้น การทำธุรกิจผู้ประกอบการต้องมองให้เห็นเหรียญทั้ง 2 ด้าน อันนี้สำคัญ
หรือถ้ายังไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตอนนี้ ถามว่าสายป่านของธุรกิจคุณจะไหวได้แค่ไหน แล้วคิดจะปรับเปลี่ยนเมื่อไร อาจารย์ขอเสริมว่าการคิดนอกกรอบ สิ่งสำคัญคือ ผู้นำต้องมีความกล้าก่อน กล้าที่จะเปลี่ยน กล้าที่จะนำองค์กรทำอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุมีเพิ่มมากขึ้น แต่ธุรกิจเรายังไม่มีสินค้าสำหรับผู้สูงอายุเลย แบบนี้เป็นต้น ลองให้ทุกคนในองค์กรช่วยกันคิดและเขียน Business Model Canvas พร้อมวิเคราะห์ SWOT กันดูนะครับ แล้วจะเห็นว่าทุกธุรกิจสามารถคิดให้ธุรกิจออกนอกกรอบ Comfort Zone ได้ครับ
ยังมีมุมมอง มุมคิด ที่ผมต้องการแบ่งปันแลกเปลี่ยนกับ SMEs ทุกท่าน
อีกหลายเรื่อง ติดตามกันได้ในตอนต่อไปครับ
อ.วีรปรัชญ์ สิงห์สัตย์
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาที่ปรึกษาธุรกิจ BCI